ประวัติความเป็นมาของรถโฟล์ค
ใน พ.ศ. 2476 อดอล์ฟ ฮิตเลอร์ ผู้นำแห่งจักรวรรดิไรซ์ที่สาม (ปัจจุบันคือประเทศเยอรมนี) ในขณะนั้น
ได้มองเห็นว่า บริษัทรถยนต์ส่วนใหญ่ในขณะนั้น มักจะเป็นบริษัทรถยนต์หรูหรา
ฟุ่มเฟือยมาก ทำให้มีเพียงผู้คนที่ฐานะร่ำรวยเท่านั้นที่ซื้อรถได้ ฮิตเลอร์
ซึ่งมีแนวคิดแบบชาตินิยม ได้สั่งการให้เฟอร์ดินานด์ ปอร์เช วิศวกรยานยนต์
(มีผลงานออกแบบรถยนต์เมอร์เซเดส-เบนซ์ เอสเอสเค และรถปอร์เชอีกหลายรุ่น)
พัฒนารถยนต์รุ่นใหม่ ที่เป็นรถยนต์ระดับมาตรฐาน และสามารถบรรทุกผู้ใหญ่ 2 คน และเด็กอีก 3 คน ไปพร้อมๆ กันได้
และสามารถวิ่งด้วยอัตราเร็ว 100 กิโลเมตร/ชั่วโมง ได้
เป็นรถครอบครัวราคาถูก เพื่อให้ประชาชนแห่งจักรวรรดิไรซ์ที่สามได้มีรถยนต์ไว้ใช้
รวมทั้งเป็นการกระตุ้นเศรษฐกิจไปในตัว เฟอร์ดินานด์ ได้ดำเนินการพัฒนารถยนต์ที่มีคุณลักษณะตามความต้องการดังกล่าว
จนแล้วเสร็จ ตั้งชื่อว่า โฟล์กสวาเกน ไทป์ 1 (ซึ่งต่อมาได้เปลี่ยนชื่อเป็น บีเทิล)
พ.ศ. 2480 บริษัทโฟล์กสวาเกนถูกจัดตั้งขึ้น
เพื่อผลิตรถยนต์ราคาถูกและประหยัดน้ำมันสำหรับประชาชนแห่งจักรวรรดิไรซ์ที่สาม
และไทป์ 1 ก็เป็นหนึ่งในรถยนต์รุ่นแรกๆ ของโฟล์กสวาเกน
เริ่มการผลิตครั้งแรกใน พ.ศ. 2481 ตามคำสั่งของฮิตเลอร์
ด้วยราคาประมาณคันละ 990 ไรซ์มาร์ก
(สกุลเงินของจักรวรรดิไรซ์ที่สาม ปัจจุบันยกเลิกไปแล้ว, รายได้เฉลี่ยของประชาชนจักรวรรดิไรซ์ที่สาม
ณ ขณะนั้น อยู่ที่ประมาณ 140 ไรซ์มาร์ก/เดือน)
ซึ่งใกล้เคียงราคาของรถจักรยานยนต์
การออกแบบของไทป์
1 ส่วนใหญ่ใช้แนวคิดจากรถยนต์ยี่ห้อทาทรา (อังกฤษ: Tatra) รถยนต์ระดับกลาง
ซึ่งมีลูกค้าอยู่มากพอสมควร ด้วยเพราะไม่เป็นรถยนต์ที่หรูเกินไปนัก
แต่ก็มีเทคโนโลยีอำนวยความสะดวกสบายให้อย่างตรงความต้องการ ซึ่งเทคโนโลยีบางอย่างก็ได้นำไปใช้ในไทป์
1 ด้วย
การนำความคิดของทาทรามาใช้มากเกินไป
ทำให้ทาธราฟ้องร้องโฟล์กสวาเกน แต่ทว่า เพียง 1 ปีให้หลัง สงครามโลกครั้งที่
2 ได้เริ่มต้นขึ้นในพ.ศ. 2482 และจักรวรรดิไรซ์ที่สามเป็นหนึ่งในแกนนำหลักของฝ่ายอักษะ ทำให้คดีชะงัก
และการผลิตบีเทิลเพื่อจำหน่ายต้องระงับไปชั่วคราว และต้องมาผลิตให้กองทัพนำไปใช้
ลักษณะของรถยนต์
โดยส่วนใหญ่แล้ว
เจ้าของรถบีเทิลมักจะรักษาสภาพเดิมของบีเทิลไว้ให้ได้มากที่สุด แต่ก็มีเจ้าของจำนวนไม่น้อยที่นำบีเทิลไปแต่งรถ
ด้วยเพราะบีเทิลใช้เทคโนโลยีมาตรฐาน การแต่งจะมาสามารถทำได้ง่าย ราคาถูก
และสามารถแสดงตัวตนของเจ้าของออกมาได้ชัดเจน
รูปแบบการแต่งบีเทิลที่พบเห็นได้มากคือ บาจา บั๊ก และ แคลิฟอร์เนีย ลุคบาจา บั๊ก
เป็นการแต่งบีเทิลเป็นรถออฟโรด (สามารถวิ่งนอกถนนได้ วิ่งบนทะเลทราย ทุ่งหญ้า
ชายหาด ได้) โดยการโหลดสูง ใส่ล้อใหญ่ และปรับแต่เครื่องยนต์พอควร
ส่วนแคลิฟอร์เนีย ลุค จะมีลักษณะโหลดเตี้ย เปลี่ยนล้อเป็นล้อ 5 Spokes หรือ 8 Spokes และบางคันก็ถอดกันชนเดิมออก
แล้วใส่แท่งเหล็กรับการชนแทน ดังรูป หรือเปลี่ยนเป็นกันชนโครเมียมหรือขัดมัน
และนอกจากนี้ ยังมีการตกแต่งภายนอกแบบไม่อิงรูปแบบใดๆ ก็มีไม่น้อย
การตกแต่งภายใน
เจ้าของรถส่วนใหญ่มักจะรักษาสภาพภายในรถไว้แบบเดิมๆ
แต่ด้วยความที่บีเทิลใช้เทคโนโลยีพื้นฐาน ง่ายต่อการดัดแปลง
จึงมีเจ้าของรุจำนวนไม่น้อยที่ดัดแปลงภายในด้วย ที่พบเห็นได้มากคือ
ติดตั้งเครื่องเสียง รวมถึงดัดแปลงลำโพง ติดซับวูเฟอร์ ส่วนรถแต่งซิ่ง
ก็มีบ้างที่ใส่คานกันยุบใว้เต็มคัน แต่บีเทิลที่จะแต่งเป็นรถแข่งเต็มตัวก็หาได้ยาก
ด้วยความที่ยังมีตัวเลือกเป็นรถที่ออกแบบเป็นรถสปอร์ตของแท้อีกหลายรุ่น เช่น ฟอร์ด มัสแตง รวมถึงรถสปอร์ตของยี่ห้ออื่นๆ
ซึ่งเป็นรถสปอร์ตจริง ซึ่งจะน่าเชื่อถือกว่ารถสปอร์ตที่ดัดแปลงมาจากรถธรรมดาอย่างที่บางคนทำกับบีเทิล
เครื่องยนต์
เครื่องยนต์เดิมของบีเทิล เป็นเครื่องยนต์ 4 สูบแถวเรียง ขนาดใหญ่ที่สุด 1600 ซีซี มีบางคนที่ต้องการใช้บีเทิลในการแข่งรถ ได้ไปเปลี่ยนเครื่องยนต์
โดยนำเครื่องเดิมออก และใส่เครื่องยนต์สมรรถนะสูงลงแทน เช่น
เครื่องยนต์ขนาดลูกสูบที่ใหญ่ขึ้น หรือเครื่องยนต์ 6 สูบ
หรือ 8 สูบแบบวี เมื่อนำเครื่องลงแล้ว
บีเทิลจะได้เปรียบรถรุ่นอื่นๆ คือ นำหนักของบีเทิลน้อย เพียงประมาณ 800 กิโลกรัม เมื่อลงเครื่องที่สมรรถนะสูง กำลังสูง จะทำให้ได้อัตราเร่งที่ดี
จึงมีบีเทิลดัดแปลงจำนวนไม่น้อย ที่ได้ลงแข่งในสนาม ที่พบเห็นได้มากคือ สนาม Drag
Racing คือ แข่งขันการขับยกล้อหน้าของรถเก๋ง ส่วน บาจา บั๊ก
ก็เข้าสนามแข่งรถออฟโรดอยู่มากพอสมควร
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น